2 จิตตวิเวก Podcast

2 จิตตวิเวก

วัดป่า ดอนหายโศก ฟังธรรมะ donhaisok
รูปแบบการปฏิบัติธรรมทางวิทยุ (Guided Meditation) ฟังไปด้วย, นั่งสมาธิไปด้วย เพื่อทำจิตที่ประภัสสรให้ผ่องใส ด้วยการเจริญสมถวิปัสสนา นำธรรมะเข้าสู่จิตใจให้ชุ่มเย็นอ่อนเหมาะควรแก่การงาน. New Episode ทุกวันอังคาร เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ donhaisok.fm
นอนอย่างไรให้เป็นการภาวนา [6535-2m]
เจริญธัมมานุสติ คือ ใคร่ครวญไปตามธรรมะของพระพุทธเจ้า คือ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง การนอนให้เป็นภาวนา ก่อนนอนต้องกำหนดจิตให้มีสติสัมปชัญญะ โดยภาวนาพุทโธ หรือดูลมหายใจ น้อมจิตไปเพื่อการหลับว่า “บาป อกุศล อย่าตามเราไป ผู้ซึ่งนอนอยู่” ให้มีกุศลธรรมในจิตใจ จิตจะปราศจากราคะ โทสะ โมหะ เวลาหลับไปแล้ว จิตจะมีสติ เพราะมีสติสัมปชัญญะ ตั้งแต่ก่อนนอน ก่อนหลับ ระหว่างหลับ และการตื่นนั้นจะเป็นสุข ไม่ฝันร้าย การนอน การหลับที่อยู่ในสมาธิ นั่นคือ การนอนแบบเป็นภาวนา จักเป็นการพัฒนาจิตได้ และร่างกายจะได้รับการพักผ่อน ยังรวมถึงการเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก่อนนอน อานิสงส์ คือ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้ายจะมีเทวดารักษา รวมถึงการเจริญมรณสติว่า หากเรานอนครั้งนี้แล้วไม่ลุกขึ้นอีก บาปอกุศลอย่าตามเราไป จิตเราจะเป็นกุศล จะทำให้จิตเป็นสมาธิ มีการพัฒนาทางจิตใจ การนอนนั้นก็เป็นการภาวนาได้
Aug 29, 2022
59 min
พลัดพรากให้เป็นธรรม ธรรมสังเวช [6534-2m]
พัฒนาจิตด้วยการเจริญพุทธานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พลัดพรากให้เป็นธรรม ด้วยการมีสติ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นเป็นธรรมดา พิจารณาความทุกข์ทั้งปวง เกิดจากสิ่งนั้นมีความเปลี่ยนแปลง และเรายึดมั่นในสิ่งนั้นๆ ด้วยจิตที่ยังมี ราคะโทสะ โมหะ เกิดทุกข์ในที่สุด พอเราเจอเรื่องทุกข์แล้ว ให้มี “สติ สัมปชัญญะ” จะอดกลั้นเวทนาได้ด้วย “ธรรมสังเวช” หมายถึง ความร้อนใจที่พัฒนาจนอยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ได้ โดยให้ตระหนักถึงสิ่งที่ควรรีบทำ ความตื่นรู้ถึงว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง จึงให้เป็นผู้มีความเพียร เร่งรีบปฏิบัติ ให้มีความกล้าเผชิญความจริง ไม่เผลอเพลินไป ให้รีบดับไฟ ไฟคือความเกิด ความเจ็บ ความแก่ ความตาย ไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ มันเผาเราอยู่แล้ว เราต้องรีบดับไฟนี้เสีย สมาธิ สติ ปัญญา ใช้ในการพัฒนาจิตของเราให้หลุดพ้นจากสังขาร การเปลี่ยนแปลง ความยึดถือต่างๆ เข้าใจแล้ว เราก็สบายใจได้ อยู่กับทุกข์ ก็ไม่ทุกข์ หรืออยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ได้ นั่นเอง
Aug 22, 2022
1 hr
กินให้เป็นภาวนา [6533-2m]
โภชเนมัตตัญญุตา คือ การพิจารณาอาหารด้วยความแยบคายเป็นการใช้ปัญญา อานิสงส์นั้นได้ถึงการเป็นอนาคามี ในที่นี้ได้แยกการพิจารณาดังนี้ พิจารณาจากเวทนา เวทนาเก่าให้ลดหรือหายไป คือ ความหิว ความอยาก โรคภัยไข้เจ็บ เวทนาใหม่อย่าให้มี คือ ความอิ่มจนอึดอัด เวทนาใหม่ที่ระงับได้ เพราะอาหารบางประเภท แต่ต้องในปริมาณที่เหมาะสม โรคภัยใหม่ๆ ที่จากการกินเกินพอดีจากวัฒนธรรมน้ำจิ้ม ได้เปรียบการกินอาหารไว้กับอุปมา 3 อย่าง คือ อุปมาน้ำมันหยอดเพลาเกวียน ที่ใส่นิดเดียว ใส่มากไม่ดี ไม่ใส่ก็ไม่ได้ อุปมาผ้าปิดแผล ผ้าต้องพอดีเหมาะสม และอุปมาการกินเนื้อบุตร เห็นเป็นของปฏิกูล ไม่กินเพื่อเล่น ไม่กินเพื่อมัวเมา ไม่กินเพื่อตกแต่ง แต่กินเพื่อให้พอข้ามผ่านทางกันดารไปได้ เพื่อสะดวกต่อการประพฤติพรหมจรรย์ เทคนิคที่ใช้รับมือ คือ การนับคำทำให้จำกัดปริมาณ ไม่เกินต่อมอิ่ม กินมากเท่ากับฆ่าตัวตาย ก่อนกลืนให้นับครั้งการเคี้ยว จะทำให้รับรู้รสชาดได้เพิ่มขึ้นลดเวทนาใหม่ได้ และน้ำลายจะได้ลงไปช่วยย่อยในกระเพาะ นี้เป็นการฝึกสติสัมปชัญญะ นอกจากนี้ให้ระวังน้ำตาลตัวร้าย เพิ่มการทำ fasting สุดท้าย คือ การพิจารณาความเป็นปฏิกูลในอาหาร 10 ประการ
Aug 15, 2022
1 hr 3 min
เจริญกายคตาสติผ่านสรีรยนต์ [6532-2m]
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบการเข้าใจกายอย่างถูกต้องตามทางสายกลาง เข้าใจในรสอร่อย และโทษของมัน พร้อมกันนั้นได้ให้อุบายในการนำออก โดยการพิจารณาผ่านจักร 4 ทวาร 9 จักร คือ การหมุนวนเปลี่ยนแปลงไปในอิริยาบถทั้งสี่ตลอดทั้งวันทั้งคืน ทวาร 9 คือ ช่องให้ของไหลเข้าไหลออกเพื่อประกอบให้กายนี้อยู่ได้ ให้ใช้ปัญญาเห็นตามเป็นจริงในสรีรยนต์นี้ คำถามของเทวดาที่ถามพระพุทธเจ้าถึงการออกไปจากทุกข์จากสรีรยนต์ที่เต็มไปด้วยของไม่สะอาดจะมีได้อย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสตอบถึงการกำจัด 4 อย่างที่จะนำออกไปจากทุกข์ได้ นั่นคือ กำจัดการผูกโกรธ กำจัดกิเลสเครื่องร้อยรัด ถอนตัณหา ขุดราก คือ อวิชชา โดยใช้อาวุธ คือ ความคม=ปัญญา กำลัง=สมาธิ และเล็งให้ถูก=สติ สับกายหมดแล้วก็ให้เห็นว่าอวิชชาอยู่ในจิตด้วย ให้เห็นจิตโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา การเห็นตรงนี้เป็นปัญญา ปัญญาเห็น อวิชชาจึงดับไป จิตจึงดับไป
Aug 8, 2022
1 hr 2 min
แยกแยะแล้วเห็นด้วยปัญญา [6531-2m]
เจริญอานาปานสติ เพื่อให้พบปัญญา รูป-นาม หรือ กาย-ใจ เชื่อมต่อกันด้วยวิญญาณ คือ การรับรู้ สติอยู่ ณ จุดที่ลมหายใจมาสัมผัส เกิดสมาธิสงบระงับ แล้วเดินปัญญาต่อ ให้เห็นความไม่เที่ยง โยนิโสมนสิการ พิจารณา ไตร่ตรอง ในสมาธิ ให้เห็น “นิมิตของความไม่เที่ยง นั่นคือ เกิดปัญญา เกิดดวงตา เกิดแสงสว่าง” แต่กิเลส ตัณหามันเหนียว ต้องทำซ้ำ ทำย้ำ พิจารณาดูความไม่เที่ยงอีก แม้ลมหายใจเข้า-ออกก็ไม่เที่ยง ทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เราไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา สติมีตลอดกระบวนการ เห็นปัญญาตรงนี้บ่อยๆ เราจะ “วาง” ได้
Aug 1, 2022
59 min
แยกจิต มโน วิญญาณ ด้วยสติ [6530-2m]
เจริญอานาปานสติ โดยการสังเกต และตั้งสติไว้ที่ลมหายใจ ตั้งสติ คือ การแยกแยะ สังเกต จัดระเบียบความคิด ในช่องทางใจ เปรียบเหมือนผูกสัตว์หกชนิด ไว้ที่เสา สัตว์หกชนิดเปรียบเหมือน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ผูกไว้กับ “เสา คือ สติ” เพื่อไม่ให้จิตไปเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ เผลอ เพลิน การ “เสวยอารมณ์” ไปหลงคิดว่าเป็นความคิดของฉัน เป็นสุขของฉัน เป็นทุกข์ของฉัน เป็นตัวฉัน เพราะเข้าใจผิดคิดว่า ความนึกคิด จิต มโน วิญญาณ คือ สิ่งเดียวกัน คือ ก้อนเดียวกัน หากแต่ พอ “สติมีกำลัง” จากการฝึกสังเกตบ่อยๆ จะก่อให้เกิดกระบวนการแยกแยะว่า ธรรมารมณ์ (ความคิดนึก) กับจิต ไม่ใช่อันเดียวกัน สังเกตุแยก “รูป-นาม” ได้ (สิ่งที่ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) โดยมีวิญญาณเป็นธาตุรู้ที่เชื่อมต่อสิ่งภายนอกเข้าสู่ใจ ผ่านทางช่องทางใจหรือมโน และมีจิตเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ไม่เสวยอารมณ์นั้นๆ เพราะแยกกันออกแล้ว “เราจึงแยกแยะ ธรรมารมณ์ จิต มโน วิญญาณ ได้ด้วย สติ” พอมีการแยกแยะแล้ว จิตก็ “ระงับ ไม่สะดุ้ง-สะเทือน”ไปตามอารมณ์ นั่นคือ จิตเป็นสมาธิแล้ว
Jul 25, 2022
1 hr 1 min
ละเอียดจนไม่เหลืออะไร [6529-2m]
เจริญอานาปานสติไว้ที่ลมหายใจ, สติคือการแยกแยะ แยกแยะผัสสะที่เข้ามากระทบ เป็นไปเพื่อการล้างกิเลสออก เพราะจิตหวั่นไหวขึ้น-ลง เสวยอารมณ์สุข-ทุกข์ ผ่านทางผัสสะที่มากระทบ, เราจึงต้องมีการจัดระเบียบในช่องทางใจด้วย “สติ”, ผลที่ได้คือ “ความละเอียด” หรือ การปรุงแต่งทางกายและจิตระงับ, เปรียบเหมือน ช่างทองล้างแล้วล้างอีก จนกว่าจะได้ทองคำ, “สติ วิญญาณ จิต กิเลส” ละเอียดลง ให้รู้เท่าทัน, เพื่อป้องกันการกลับกำเริบของกิเลส หรือ การเผลอสติ เพราะจิตยังมี “อวิชชา” ข้อปฏิบัติที่ละเอียดลงคือปฏิบัติตามทางมรรคมีองค์แปดจะค่อย ๆ กำจัด อาสวะกิเลส จากกิเลสอย่างหยาบจนถึงกิเลสอย่างละเอียด ทำซ้ำ ทำย้ำ สับให้ละเอียดจนไม่เหลือเงา ไม่เหลือรากของอวิชชา, ให้เห็นตามความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ ความเป็นอนัตตา ซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ สับลงไป มันจะเกิดความเบื่อหน่ายคือ “นิพพิทา” ใช้ “ปัญญา เห็นตามความเป็นจริง เห็นความไม่เที่ยง เห็นการปรุงแต่ง” แม้จิตก็ไม่เที่ยง แล้ว “วาง”ซะ, จิตเราจะพ้น คือ วิมุตติ เป็นจิตที่หลุดพ้นแล้ว เป็นจิตที่ยินดี ร่าเริงไม่หวาดสะดุ้งสะเทือน ย่อมปรินิพพานเฉพาะตนนั้นเทียว.
Jul 18, 2022
59 min
จงเป็นธรรมทายาท อย่าเป็นคนสุดท้าย [6528-2m]
เจริญอานาปานสติ ตั้งสติให้ระลึกถึงลมหายใจ จิตจะค่อย ๆ รวมลง ๆ เกิดปัสสัทธิ คือความสงบระงับเป็นอารมณ์อันเดียว เกิดเป็นสมาธิ พระพุทธเจ้าท่านทรงเตือนเพื่อให้เราคอยตรวจตราจิตใจเรา อยู่สามข้อคือ ให้เราเป็น “ธรรมทายาท” อย่าเป็นอามิสทายาท, อย่าทำตัวเป็นศัตรูหรือปฏิปักษ์ แต่ให้ทำตัวเป็น “มิตรหรือมีความสอดคล้องกับพระพุทธเจ้า”, อย่าเป็นคนสุดท้าย แต่ให้เป็นคนที่จะสืบต่อธรรมะต่อไปด้วย “สติ” ท่านทำให้เป็นเหมือนกระจกเงา ให้เราพิจารณาตัวเราตลอดเวลา แม้ถูกกิเลสมารตัดออกไป เราก็ยังสืบต่อความดีด้วย “สติ”ตั้งมั่นใหม่ ไม่เป็นคนสุดท้าย จะมีเมตตา กรุณา อุเบกขา ต่อไปเรื่อย ๆ เมื่อเราเป็น “มัคคานุคาคือผู้เดินตามมรรค” เราก็จะเป็นผู้รับมรดกทางธรรมเป็นธรรมทายาท ได้ลิ้มรส “อมตธรรมคือพระนิพพาน”ของพระพุทธเจ้าได้ ให้เราประคองรักษาจิต รักษาสติ อยู่อย่างนี้ได้ตลอดทั้งวัน แล้วให้เห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามที่ความเป็นจริงในสิ่งต่าง ๆ ว่า “นั่นไม่ใช่ตัวเรา นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา”
Jul 11, 2022
59 min
สังโฆคือการปฏิบัติ [6527-2m]
ปฏิบัติภาวนาด้วยการระลึกถึงสังโฆ สังโฆคือผู้ปฏิบัติจนรู้แจ้ง ให้เราระลึกถึงคุณของสังโฆ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้แจ้งโลก ผู้เห็นทุกข์ คือ เห็นธรรม เข้าใจอริยสัจสี่อย่างแจ่มแจ้ง เปรียบเหมือน ปัจจันตนครที่มีเครื่องป้องกันเจ็ดปราการ โดยมีนายทวารหรือทหารยาม ฉลาด สามารถดี คือ มีสติ ห้ามไม่ให้คนที่ไม่รู้จักเข้า คือ สติรักษาไม่ให้อกุศลจิตแทรกผ่านประตูเข้ามา อนุญาตให้เฉพาะคู่ราชฑูต คือ สมถวิปัสสนา มาส่งสาสาส์น คือ การเห็นตามความเป็นจริงคือนิพพาน สู่เจ้าเมืองคือวิญญาณ โดยผ่านตามทางคือมรรคแปด เมื่อผัสสะมากระทบผ่านประตูทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สติที่มีกำลังจะสังเกต แยกแยะ และก่อให้เกิด สมถวิปัสสนา เข้าสู่จิต เห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงในผัสสะที่มากระทบ ทั้งรูป ทั้งนาม ขันธ์ทั้งห้าเป็นกองทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา วิญญาณเมื่อได้รับข่าวสารที่เป็นวิชชาเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ พ้น คือ วิมุตติ โดยมีนิพพานเป็นที่แล่นไปสู่ จิตก็หลุดพ้น คือ ดับเย็นเป็นผู้รู้อย่างแจ่มแจ้ง
Jul 4, 2022
1 hr 1 min
พลังสติ [6526-2m]
ฝึกพลังสติให้จิตใคร่ครวญไปในธรรม สติปัฏฐานสี่ คือ เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม ฝีกให้ชำนาญในสติปัฏฐานสี่ จากการเพิ่มพลังสติ การเพิ่มพลังสติมีห้านัยยะ โดยผ่านสติปัฏฐานสี่ คือ เราจะแค่รับรู้ “สังเกต”เห็นเฉยๆ ในสติปัฏฐานสี่ ด้วยสติ, พอสติมีกำลังแล้วจิตจะ “แยกแยะ”, แล้วจิตก็ “แยกตัว” ออก ไม่ตามสิ่งต่างๆ นั้นไป, จิตนั้นก็สามารถเลือกได้ว่าจะตอบสนองอย่างไร นั่นคือ จิตมี “ทางเลือก”, ก็จะเกิด “พลังสติ” ห่อหุ้มจิตเอาไว้ พลังสติทำให้เกิดสมาธิ เมื่อมีสมาธิตั้งมั่นแล้ว เราจะต้องใช้ปัญญา พิจารณาเห็นความเกิดขึ้น ความดับไป, แม้จิตเราก็ไม่เที่ยง ไม่ควรที่จะเห็นเป็นตัวเรา เป็นของเรา “ละความยึดถือในกาย ในจิต” ให้เราอยู่กับสติ อยู่กับปัญญา, รักษาพลังสติ พลังปัญญา นี้ไว้ให้ดี.
Jun 27, 2022
1 hr 1 min
Load more